คาร์ดิโอ
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น เดินเร็ว วิ่งจ็อกกิง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน พายเรือ กระโดดเชือก การเต้นแอโรบิก และปีนเขา เป็นต้น เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความอ้วนโดยการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและการสูบฉีดเลือดทำงานดีขึ้น ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันและแคลอรีได้มากขึ้น
นอกจากนี้ คาร์ดิโอช่วยดึงน้ำตาลในกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน ป้องกันไม่ให้น้ำตาลสะสมกลายเป็นไขมัน ส่งผลให้ร่างกายสามารถลดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น
เวทเทรนนิ่ง
การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง โดยเฉพาะแบบ Body Weight เช่น ท่า Triceps dips, Plank, Body Weight Squat หรือ Sit Up เป็นต้น ช่วยลดความอ้วนได้โดยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มขึ้น แม้ในเวลาพักก็ยังเผาผลาญไขมันได้
นอกจากนี้ ระหว่างเวทเทรนนิ่ง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นให้ไขมันในร่างกายถูกสลายออกไป การฝึกอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยให้รูปร่างและสัดส่วนกระชับขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรวมกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมันได้ดียิ่งขึ้น
HIIT
การออกกำลังกายแบบ HIIT (High Intensity Interval Training) ช่วยลดความอ้วนได้โดยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานทั้งในขณะออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย (Afterburn Effect หรือ EPOC) ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้นแม้หลังจากหยุดออกกำลังกาย
นอกจากนี้ HIIT ยังช่วยลดไขมันสะสมในร่างกายโดยใช้ไขมันเป็นพลังงานหลังจากใช้คาร์โบไฮเดรตหมด และยังใช้เวลาสั้นแต่เผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอธรรมดา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน
FITT
การออกกำลังกายแบบหลักการ FITT ช่วยลดความอ้วนได้โดยการกำหนดความถี่ (Frequency) ให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น อย่างน้อย 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน ส่วนความหนัก (Intensity) ให้เลือกระดับที่เหมาะสมแต่เน้นระดับปานกลางถึงหนัก เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานและกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน
รวมถึงกำหนดเวลาออกกำลังกาย (Time) อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเลือกประเภทการออกกำลังกาย (Type) ที่หลากหลาย เช่น แอโรบิก ฝึกกล้ามเนื้อ หรือการยืดเส้น จึงทำให้ร่างกายทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดไขมันและน้ำหนักตัวได้