จุดเริ่มต้นธุรกิจของคุณจิรัฐยา (จิ) และคุณวิโรจน์ (บัส) รอดเด็น เริ่มต้นขึ้นในปี 59 เมื่อคุณจิและคุณบัสกำลังมองหาธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่หลายร้าน แม้จะพอรับทราบข้อมูลของธุรกิจแอมเวย์มาบ้างและมีความประทับใจในผลิตภัณฑ์ แต่ทั้งคู่ยังไม่ตัดสินใจ กระทั่งได้เข้าร่วมงานประชุม ได้เห็นความหลากหลายของผู้คนที่กลายเป็น ‘คนสำเร็จ’ ทั้งคู่จึงตัดสินใจ “เราได้เห็นว่าคนสำเร็จมีหลากหลาย บางคนเรียนไม่สูง บางคนพูดไม่เก่ง บางคนก็เก่งเลย เอะใจว่าธุรกิจนี้ต้องมีอะไรที่ทำให้ทุกคนสำเร็จได้ เลยเชื่อมั่นว่าเราก็ต้องทำได้เหมือนกันค่ะ”

“ธุรกิจใดไร้ความท้าทาย ธุรกิจนั้นไร้การเติบโต” เป็นความเชื่อของทั้งคู่ เมื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจแอมเวย์จึงได้พบกับความท้าทายใหญ่ถึงสามครั้ง “ครั้งแรกคือช่วงเดือนถือศีลอดครับ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้ามา เราคุยกันว่าเดือนนี้น่าจะสำเร็จยากเพราะญาติๆ ถือศีลกัน ไม่ค่อยมีใครสะดวกคุย แต่ผมอยากสำเร็จเพราะเป็นเดือนเกิดของคุณจิ อยากสำเร็จเป็นของขวัญให้เขา (ยิ้ม)” คุณบัสเล่า หลังจากนั้นก็มาถึงความท้าทายใหญ่ครั้งที่สอง...โควิด “ตอนนั้นออกจากบ้านไม่ได้ ธุรกิจอื่นของเรามีรายได้เป็นศูนย์ แต่ธุรกิจนี้ยังมีรายได้เข้าบ้าน นั่นทำให้เห็นชัดเลยว่าเราควรจะเลือกธุรกิจไหน” เพราะตระหนัก ตัดสินใจ และลงมือทำในช่วงเวลาที่แสนจะท้าทายนั้น ทั้งคู่จึงก้าวสู่ระดับมรกต

จนถึงครั้งนี้ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยเป็นใจ ทั้งคู่เข้าสู่ความท้าทายใหญ่ครั้งที่สามด้วยการตัดสินใจก้าวสู่ระดับเพชร “เส้นทางที่ผ่านมาทำให้เราเรียนรู้ว่าปัจจัยภายนอกไม่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจนี้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ยังมีคนสำเร็จ ดังนั้นอยู่ที่ตัวเราว่าจะตัดสินใจสำเร็จหรือไม่ค่ะ” คุณจิบอก คุณบัสเสริมว่า “ถ้าเป็นช่วงที่คลื่นลมสงบ ใครๆ ก็แล่นเรือได้ครับ แต่ถ้าเราแล่นเรือในช่วงที่ยากลำบากแล้วทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่เราที่เอาชนะความท้าทายได้ แต่ลูกเรือที่มองเราอยู่จะได้เห็นว่าความสำเร็จในธุรกิจนี้ไม่มีข้ออ้าง เราจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขามีแรงเดินต่อไปได้ครับ” คุณจิบอกว่าความท้าทายในครั้งนี้ยังทำให้เธอเข้าใจถึงแก่นแท้ของธุรกิจ “เราเข้าใจปรัชญาธุรกิจที่ว่า ‘คุณก่อนเราทีหลัง’ นั่นคือเราต้องออกไปช่วยให้คนอื่นสำเร็จก่อน ตัวเราถึงจะสำเร็จค่ะ (ยิ้ม)”

ย้อนกลับไปในวันเริ่มต้นด้วยการชักชวนจากน้องชาย คุณหมอสุเมธจึงไปร่วมงานประชุมด้วยความคิดว่าไปแค่ครั้งเดียว แต่ไหนๆ สละเวลาไปแล้ว คุณหมอจึงฟังแนวคิดของคนสำเร็จและแนวทางธุรกิจอย่างตั้งใจ นั่นทำให้พบว่าธุรกิจแอมเวย์ที่ ‘คิด’ กับ ‘ของจริง’ นั้นต่างกัน คุณหมอตัดสินใจว่าจะเริ่มธุรกิจแต่คุณดาวคู่ชีวิตไม่เห็นด้วย “บอกคุณหมอว่าจะทำก็ทำไปแต่พี่ไม่ทำค่ะ (ยิ้ม)” ไม่เพียงไม่ทำยังตามด้วยการค้านเงียบ “อย่างผมซื้อสินค้าแอมเวย์มา เขาก็จะซื้อยี่ห้ออื่นมาวางเทียบ กลายเป็นเราซื้ออะไรมาก็จะมีของแอมเวย์หนึ่งชิ้น ของตามท้องตลาดอีกชิ้น (หัวเราะ) ผมก็คิดว่าไม่ได้แล้ว ต้องเชิญเขาไปเปิดใจที่งาน”

นี่เป็นวิธีที่ได้ผล “พอไปก็เปิดใจในงานนั้นค่ะ รู้สึกเหมือนเราเป็นกบอยู่ในกะลาที่คิดว่าทำแค่งานประจำก็มั่นคง จุดตัดสินใจคือคิดว่าจะทำเพื่อเป็นมรดกให้ลูกค่ะ” ทั้งคู่จึงเริ่มเรียนรู้ แล้วจู่ๆ ธุรกิจก็เริ่มต้นขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว “พี่ใช้ครีมทาใต้ตาแล้วรอยคล้ำดีขึ้นก็เลยคุยกับน้องๆ โดยไม่มีเจตนาจะขายเลย ปรากฏว่าน้องสั่งสินค้า พี่ตกใจมากรีบโทร.หาอัพไลน์ อัพไลน์บอกว่าธุรกิจแอมเวย์ก็เริ่มต้นง่ายๆ แบบนี้ละ (ยิ้ม)” จากนั้นทั้งคู่จึงตั้งใจและมุ่งมั่นจนถึงขั้นที่แม้ต้องนั่งรถบัสเหลืองเพื่อเดินทางจากสุราษฎร์ธานีมาพัทยาก็เคยทำมาแล้ว คุณดาวบอกว่า “ถ้าแค่เรื่องเงินเราไม่หอบลูกขึ้นรถบัสเหลืองหรอกค่ะ แต่ความสำเร็จในธุรกิจนี้มีทั้งความมั่นคง อิสรภาพด้านเวลา และยังเป็นมรดกให้ลูก สิ่งเหล่านี้ทำให้เรายอมนั่งรถบัสเหลืองค่ะ (คุณหมอหัวเราะอย่างเห็นด้วย)”

เพราะเชื่อมั่นว่าบรรยากาศจะสร้างพลังให้ไปสู่ความสำเร็จ ในวันที่ตั้งใจมุ่งมั่นเป็นเพชรจึงเริ่มต้นที่จุดเปิดใจเดิม “พอกลับจากงานประชุมเราก็อยู่ไม่ติดเลยค่ะ ในงานหันไปทางไหนก็มีแต่เพชร เราก็คิดว่าทำไมเราอยู่มรกตมาตั้งนานนะ เขาเป็นเพชรกันแล้ว” คุณดาวเล่า คุณหมอสุเมธเสริมเพิ่ม “ผมคิดว่าความสำเร็จเกิดจากการสะสมความสำเร็จ สะสมความเชื่อ และต้องเปรียบเทียบให้เป็น วันนี้เราอาจต้องลงแรงเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ยอดธุรกิจเท่าเดิม แต่เมื่อเทียบกับงานอื่น เราลงแรงเท่ากันแต่ผลลัพธ์ยังถดถอย ดังนั้นให้นึกถึงผลลัพธ์ที่เราจะได้ในธุรกิจไว้ แล้วเราจะตัดสินใจสำเร็จได้ง่ายขึ้นครับ (ยิ้ม)”

นอกจากนี้เทคนิค 3 ป คือ เป้าหมาย เปลี่ยนแปลง และไปให้สุด เป็นแนวทางที่ทั้งคู่ยึดมั่น “เชื่อว่าทุกคนทำได้ค่ะ ทำตาม 3 ป นี้แล้วจะมีวันของเราไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่เมื่อวันนั้นมาถึงมันจะคุ้มค่ามาก วันที่เดินบนพรมแดงแล้วมีคนมายินดีกับเรามากมาย ความเหนื่อยที่ผ่านมามันหายไปหมดเลยค่ะ (ยิ้ม)”